มัทฉะ (Matcha) คือผงชาเขียวคุณภาพสูงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี โดยมีกระบวนการผลิตที่พิเศษและซับซ้อนกว่าชาเขียวธรรมดามาก กระบวนการผลิตมัทฉะเริ่มต้นจากการปลูกต้นชาในที่ร่มเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ก่อนเก็บเกี่ยว
วิธีนี้เรียกว่า Tana ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์และแอมิโนกรด L-Theanine ทำให้ได้ใบชาที่มีสีเขียวเข้มและรสชาติหวานเป็นธรรมชาติ
หลังจากนั้นจึงนำไปบดด้วยหินแกรนิตแบบดั้งเดิมจนได้ผงละเอียดสีเขียวสดใส ความแตกต่างหลักระหว่างมัทฉะและชาเขียวธรรมดาคือ เมื่อดื่มชาเขียว เราได้เพียงสารที่ละลายในน้ำ แต่เมื่อดื่มมัทฉะ เรากินใบชาทั้งใบในรูปแบบผง ทำให้ได้สารอาหารเข้มข้นกว่า 10-15 เท่า
1. เร่งการเผาผลาญไขมัน
มัทฉะมีความสามารถในการเร่งเผาผลาญไขมันที่เหนือกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ ด้วยสาร EGCG (Epigallocatechin Gallate) ที่มีปริมาณสูงมาก
งานวิจัยตีพิมพ์ในฐานข้อมูล ResearchGate พบว่า การดื่มชาเขียวมัทฉะสามารถส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายของผู้หญิงขณะออกกำลังกาย ที่สำคัญการดื่มมัทฉะก่อนออกกำลังกาย 30 นาที สามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 17%
สิ่งที่ทำให้มัทฉะพิเศษกว่ากาแฟ คือ มัทฉะให้พลังงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ขณะที่กาแฟมักจะให้พลังงานสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วร่วงลงอย่างฉับพลัน มัทฉะมี EGCG สูงกว่าชาเขียวธรรมดาถึง 137 เท่า ซึ่งทำงานโดยการยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมนเผาผลาญไขมัน และยังช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกายเล็กน้อยเพื่อเร่งการเผาผลาญอีกด้วย
การเปรียบเทียบระหว่างมัทฉะและกาแฟพบว่า กาแฟให้พลังงานชั่วคราว 2-3 ชั่วโมงแล้วร่วงลง ในขณะที่มัทฉะให้พลังงานต่อเนื่อง 4-6 ชั่วโมงโดยไม่มีอาการหล่น นี่เป็นเพราะ L-Theanine ในมัทฉะช่วยควบคุมการดูดซึมคาเฟอีนให้เป็นไปอย่างช้าๆ และยาวนาน
2. ต้านอนุมูลอิสระ
มัทฉะมีค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) สูงถึง 1,573 หน่วยต่อกรัม ทำให้เป็นหนึ่งในอาหารที่มีแอนติออกซิแดนท์สูงที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆที่เรารู้จัก
มัทฉะมีแอนติออกซิแดนท์สูงกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 70 เท่า สูงกว่าช็อกโกแลตดาร์ก 7 เท่า และสูงกว่าบร็อกโคลี่มากกว่า 500 เท่า
บทความวิจัยฉบับเต็มเรื่องมัทฉะกับการต่อต้านมะเร็งเต้านมจากฐานข้อมูล NCBI นักวิจัยทดสอบผลของมัทฉะ (MGT) กับเซลล์มะเร็งเต้านมในห้องแล็บ พบว่า
การดื่มชาเขียว โดยเฉพาะมัทฉะ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 42% และมะเร็งเต้านม 30% แอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะ ได้แก่ Catechins, Epicatechins, Epicatechin gallate และ EGCG ทำงานร่วมกันเป็นทีมในการจับและทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการแก่ชราก่อนวัย โรคหัวใจ และโรคเสื่อมต่างๆ
นอกจากนี้ การศึกษาล่าสุดยังพบว่าแอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะช่วยซ่อมแซมและปกป้อง DNA จากความเสียหายที่เกิดจากการสัมผัสรังสีและสารเคมีต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ทำให้มัทฉะกลายเป็นเครื่องดื่มป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพสูง
3. ควบคุมความดันโลหิต
การศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Time Magazine ได้วิเคราะห์การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม 25 รายการ พบว่าผู้ที่ดื่มชาเขียวมัทฉะเป็นเวลา 12 สัปดาห์ มีความดันโลหิตตัวบนลดลงเฉลี่ย 2.6 mmHg และความดันตัวล่างลดลง 2.2 mmHg ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ
กลไกการทำงานของมัทฉะในการควบคุมความดันโลหิตเกิดจากสารอะมิโน L-Theanine ที่พบเฉพาะในใบชา โดยเฉพาะในมัทฉะที่มีปริมาณสูงกว่าชาเขียวธรรมดา 5 เท่า L-Theanine ทำงานโดยการกระตุ้นการผลิต Nitric Oxide ในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
ข้อดีเหนือกาแฟ คือ มัทฉะไม่ทำให้เกิดอาการใจสั่นหรือความดันโลหิตพุ่งขึ้นชั่วคราวเหมือนที่เกิดขึ้นกับการดื่มกาแฟ นอกจากนี้ มัทฉะยังช่วยลดระดับของฮอร์โมนความเครียด Cortisol ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตสูง การศึกษาเปรียบเทียบพบว่า กลุ่มที่ดื่มมัทฉะมีระดับ Cortisol ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
4. สร้างสมดุลจิตใจและสมาธิ
มัทฉะสร้างสภาวะ Calm Alertness ซึ่งเป็นสภาวะที่พระสงฆ์ญี่ปุ่นใช้ในการทำสมาธิมากว่า 800 ปี ความพิเศษของมัทฉะอยู่ที่การผสมผสานที่ลงตัวระหว่างคาเฟอีนและ L-Theanine ในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยทั่วไปมัทฉะ 1 กรัมจะมีคาเฟอีนประมาณ 35 มิลลิกรัม และ L-Theanine ประมาณ 20 มิลลิกรัม
หลังจากดื่มมัทฉะ 30-40 นาที สมองจะเริ่มผลิตคลื่นแอลฟา (Alpha waves) ที่ความถี่ 8-12 Hz ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะที่ร่างกายผ่อนคลาย แต่จิตใจยังคงตื่นตัวและมีสมาธิ ผลจากการเพิ่มขึ้นของคลื่นแอลฟาทำให้ผู้ดื่มมัทฉะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิเพิ่มขึ้น และมีความเครียดลดลง
L-Theanine ในมัทฉะยังช่วยกระตุ้นการผลิตสารสื่อประสาท GABA ที่ช่วยผ่อนคลาย, Dopamine ที่เพิ่มความสุข และ Serotonin ที่ลดความวิตกกังวล การศึกษาทางคลินิกพบว่า การดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอช่วยลดอาการซึมเศร้าเล็กน้อยและความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาต้านซึมเศร้า
5. ล้างพิษตับจากธรรมชาติ
คลอโรฟิลล์ในมัทฉะมีปริมาณสูงกว่าพืชใบเขียวทั่วไป 10 เท่า เนื่องจากกระบวนการปลูกในที่ร่ม ทำหน้าที่เป็นนักล้างพิษธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง คลอโรฟิลล์ทำงานโดยการจับตัวกับโลหะหนักและสารพิษต่างๆในร่างกาย แล้วช่วยขับออกทางระบบขับถ่าย คลอโรฟิลล์มีโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกับฮีโมโกลบินในเลือดมนุษย์ แต่แทนที่จะมีเหล็กเป็นศูนย์กลางจะเป็นแมกนีเซียมแทน
มัทฉะยังช่วยสนับสนุนการทำงานของเอนไซม์ดีท็อกซ์ในตับ โดยเฉพาะเอนไซม์ Glutathione S-transferase ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในการกำจัดสารพิษและสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย
การศึกษาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดจากมัทฉะสามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์นี้ได้ การดีท็อกซ์ด้วยมัทฉะยังรวมถึงช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเมแทบอลิซึมของแอลกอฮอล์
6. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ผู้ที่ดื่มชาเขียว โดยเฉพาะมัทฉะ อย่างน้อยวันละ 3 แก้ว มีความเสี่ยงของการเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ลดลง 33% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ดื่มชาเขียวเลย
ในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานที่มีอยู่แล้ว การดื่มมัทฉะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร และปรับปรุงค่า HbA1C ให้ดีขึ้น กลไกการทำงานของมัทฉะในการควบคุมน้ำตาลเกิดจากสาร EGCG ที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Alpha-amylase และ Alpha-glucosidase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งและน้ำตาลในลำไส้
การยับยั้งเอนไซม์เหล่านี้ ทำให้การดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งขึ้นอย่างฉับพลันหลังรับประทานอาหาร ตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์โดย Sipspa การดื่มมัทฉะก่อนอาหาร 30 นาทีสามารถลดการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร และมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาควบคุมน้ำตาลบางชนิด แต่ไม่มีผลข้างเคียง
7. ลดระดับคอเลสเตอรอล
การศึกษาวิจัยที่จัดทำโดยบล็อก Harvard Health พบว่าการดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วขึ้นไปมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองลดลง 26% และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆลดลง 16% เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มชาเขียวน้อยกว่า 1 แก้วต่อวัน
การศึกษาเจาะลึกพบว่า การดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 12 สัปดาห์ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลง โดยจะลด LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) และเพิ่ม HDL (คอเลสเตอรอลดี)
กลไกการทำงานของมัทฉะในการควบคุมคอเลสเตอรอลเกิดจากสาร Catechins ที่ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็ก และกระตุ้นการขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายผ่านน้ำดี
สิ่งที่พิเศษคือ มัทฉะไม่เพียงช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่ยังช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้ LDL กลายเป็นอันตรายและสร้างคราบไขมันในหลอดเลือด
8. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
มัทฉะเป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่เข้มข้นกว่าอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป การวิเคราะห์ทางโภชนาการพบว่า มัทฉะ 1 กรัม มีวิตามิน C มากกว่าส้ม 7 เท่า วิตามิน A มากกว่าแครอท 5 เท่า เหล็กมากกว่าผักโขม 25 เท่า และแคลเซียมมากกว่านม 4 เท่า
ตามข้อมูลของ Tealife Singapore มีการศึกษากับเด็กจำนวน 2,050 คนในโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดชิซูโอกะของประเทศญี่ปุ่น จากการสังเกตพบว่านักเรียนที่ดื่มชาเขียว 1-3 แก้วต่อวัน มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ลดลง 38% ส่วนนักเรียนที่ดื่มชาเขียว 3-5 แก้วต่อวัน มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ลดลง 46% ในการทดลองนี้ วัดปริมาณชา 1 แก้ว เท่ากับชา 200 มล.
กลไกการทำงานของมัทฉะในการเสริมภูมิคุ้มกันเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน แอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะช่วยปกป้องเซลล์ภูมิคุ้มกันจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์เหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาร Catechins ช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ T และเซลล์ B ซึ่งเป็นเซลล์หลักในการต่อสู้กับเชื้อโรค
การศึกษาล่าสุดพบว่า EGCG ในมัทฉะมีคุณสมบัติในการต้านไวรัสโดยตรง โดยเฉพาะไวรัสหวัดใหญ่ ไวรัสเฮอร์ปิส และแม้แต่ไวรัสโควิด-19 ในระดับหนึ่ง การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดจากมัทฉะสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ โดยการจับกับโปรตีนผิวของไวรัสและป้องกันไม่ให้เข้าสู่เซลล์
9. ช่วยระบบย่อยอาหาร
ข้อมูลจาก Yoocha Matcha พบว่ามัทฉะมีผลดีต่อจุลินทรีย์ในลำไส้อย่างมีนัยสำคัญ การดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มจำนวนแบคทีเรียดี เช่น Bifidobacterium และ Lactobacillus ขณะเดียวกันก็ลดแบคทีเรียที่อาจก่อโรคได้ เช่น Clostridium และ Bacteroides
กลไกการทำงานของมัทฉะในการปรับปรุงสุขภาพลำไส้เกิดจากหลายสาเหตุ สาร Tannins ในมัทฉะมีคุณสมบัติในการต้านแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหาร เช่น E.coli, Salmonella และ H.pylori
นอกจากนี้ มัทฉะยังมีคุณสมบัติเป็น Prebiotic คือ อาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ โดยเฉพาะสาร Oligosaccharides และ Inulin ที่อยู่ในมัทฉะ แม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเลี้ยงแบคทีเรียดีให้เจริญเติบโตและแข่งขันกับแบคทีเรียเสียได้
การศึกษาทางคลินิกพบว่า ผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องร่วง หรือ IBS และดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการลดลงของอาการปวดท้อง ท้องอืด และการผิดปกติของการขับถ่าย
10. บำรุงผิวพรรณจากภายใน
กลไกการทำงานของมัทฉะในการบำรุงผิวพรรณเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน แอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะ โดยเฉพาะ EGCG ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลพิษในอากาศ
การศึกษาพบว่า EGCG สามารถดูดซับรังสี UV ได้ในระดับหนึ่งและลดการเกิดออกซิเดชันในเซลล์ผิว ทำหน้าที่เหมือน Sunscreen ธรรมชาติ
วิตามิน C และ E ที่อยู่ในมัทฉะในปริมาณสูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ทำให้ผิวตึงกระชับ เด้ง และลดริ้วรอย คลอโรฟิลล์ในมัทฉะมีบทบาทสำคัญในการให้ผิวมีความกระจ่างใสและมีสีสันที่ดี โดยช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหน้า ทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ
การศึกษาเฉพาะเรื่องสิวพบว่า สาร Catechins ในมัทฉะมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย Propionibacterium acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว การดื่มมัทฉะอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการเกิดสิวอักเสบ และช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม L-Theanine ในมัทฉะยังช่วยลดระดับ Cortisol ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดที่ทำให้ผิวมันและเกิดสิว
สิ่งที่หลายคนมองข้ามคือ “คุณภาพของน้ำ” ที่ใช้ชงมัทฉะ การใช้น้ำไม่ดีอาจทำลายประโยชน์ของมัทฉะได้อย่างมาก ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการใช้น้ำประปาที่มีคลอรีนในการชงมัทฉะ คลอรีนเป็นสารเคมีที่เติมลงในน้ำประปาเพื่อฆ่าเชื้อโรค แต่เมื่อคลอรีนสัมผัสกับแอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะ จะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำลายสาร EGCG และ Catechins ที่มีประโยชน์
การศึกษาพบว่า การชงมัทฉะด้วยน้ำที่มีคลอรีน 0.5 ppm ซึ่งเป็นระดับปกติในน้ำประปา สามารถทำลายแอนติออกซิแดนท์ในมัทฉะได้ถึง 30% ภายใน 5 นาทีแรก ปัญหาอื่นที่สำคัญคือการใช้น้ำที่มีค่า pH ไม่เหมาะสม น้ำที่เป็นกรดเกินไป (pH ต่ำกว่า 6.5) จะทำให้มัทฉะมีรสขมและเปรี้ยว ขณะที่น้ำที่เป็นด่างเกินไป (pH สูงกว่า 8.5) จะทำให้รสชาติของมัทฉะจืดชืดและสูญเสียความหอมหวานธรรมชาติ
คุณภาพของน้ำแข็ง ก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับการทำมัทฉะลาเต้เย็นที่กำลังได้รับความนิยม น้ำแข็งที่ทำจากน้ำประปาหรือน้ำที่ไม่สะอาดจะปนเปื้อนด้วยแบคทีเรีย สารเคมี และกลิ่นรสที่ไม่พึงประสงค์ การศึกษาพบว่า น้ำแข็งที่ทำจากน้ำไม่สะอาดมีแบคทีเรียและเชื้อราปนเปื้อนสูงกว่าน้ำเปล่าถึง 10 เท่า
แนวทางแก้ไขคุณภาพน้ำในการชงมัทฉะ
เครื่องกรองน้ำ RO (Reverse Osmosis) เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเตรียมน้ำชงมัทฉะ เพราะสามารถกำจัดคลอรีน สารเคมี โลหะหนัก และสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ได้ 99.9% ไม่มีแร่ธาตุหลงเหลือ บางคนอาจเติมแร่ธาตุกลับเล็กน้อยเพื่อความกลมกล่อมและช่วยให้รสมัทฉะนุ่มขึ้น
การศึกษาเปรียบเทียบพบว่า มัทฉะที่ชงด้วยน้ำจากเครื่องกรอง RO มีปริมาณแอนติออกซิแดนท์สูงกว่าการชงด้วยน้ำประปาธรรมดาถึง 40%
สำหรับผู้ที่ชอบดื่มมัทฉะเย็น ตู้กดน้ำเย็น กรองในตัว เป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัย ตู้กดน้ำสมัยใหม่มักจะมีระบบกรองหลายขั้นตอน รวมถึงไส้กรองคาร์บอนที่ช่วยกำจัดคลอรีนและกลิ่นรส และไส้กรอง UV ที่ฆ่าเชื้อโรค ทำให้ได้น้ำเย็นที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับการชงมัทฉะเย็นได้ทันที
การบำรุงรักษาระบบกรองน้ำ ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ไส้กรองที่ไม่ได้เปลี่ยนตามกำหนดอาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค และอาจปล่อยสารปนเปื้อนกลับเข้าไปในน้ำได้ การเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนดและการล้างทำความสะอาดระบบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ได้น้ำคุณภาพดีอย่างต่อเนื่อง
การดื่มมัทฉะให้ได้ประโยชน์เต็มที่ต้องเริ่มจาก
- การเลือกเวลาที่เหมาะสม – การดื่มมัทฉะในช่วงเช้าประมาณ 30 นาทีหลังอาหารเช้าจะให้ประโยชน์สูงสุด เพราะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานและแอนติออกซิแดนท์ที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ การศึกษาพบว่า การดื่มมัทฉะในช่วงนี้ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานตลอดวันได้ 12%
- ปริมาณที่เหมาะสม – ผู้เริ่มต้นควรเริ่มจาก 1/2 ช้อนชา (ประมาณ 1 กรัม) ต่อแก้ว เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับคาเฟอีนและสารต่างๆในมัทฉะ หลังจากดื่มเป็นประจำประมาณ 1-2 สัปดาห์แล้ว สามารถเพิ่มเป็น 1 ช้อนชา (2 กรัม) ต่อแก้ว และสูงสุดไม่ควรเกิน 3 ช้อนชา (6 กรัม) ต่อวัน เพราะอาจทำให้ได้รับคาเฟอีนเกินควร
การเตรียมมัทฉะที่ถูกต้องสำหรับมัทฉะร้อน ควรใช้น้ำอุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส ไม่ใช่น้ำเดือด เพราะน้ำร้อนเกินไปจะทำลายสารอาหารและทำให้รสชาติขม
สำหรับมัทฉะเย็น ควรชงด้วยน้ำอุ่นเล็กน้อยก่อน จากนั้นจึงเติมน้ำเย็นและน้ำแข็งสะอาด วิธีนี้จะช่วยให้มัทฉะละลายได้ดีและไม่เป็นก้อน
ไม่อันตรายหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม คือวันละ 1-2 แก้ว ซึ่งจะให้คาเฟอีนไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าดื่มมากเกิน 3-4 แก้วต่อวันอาจทำให้หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ และกระเพาะอาหารระคายเคือง คนที่มีโรคหัวใจ กำลังกินยา หรือมีปัญหานอนไม่หลับควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ปริมาณที่แนะนำคือ 1-2 ช้อนชา หรือประมาณ 2-4 กรัมต่อวัน คนที่เพิ่งเริ่มดื่มควรเริ่มที่ครึ่งช้อนชาก่อน แล้วค่อยเพิ่มทีละน้อย สามารถแบ่งดื่มเป็น 2 มื้อ เช้า 1 ช้อนชา และบ่าย ครึ่งช้อนชา หากดื่มเกิน 3 ช้อนชาต่อวันอาจเกิดผลข้างเคียงได้
มัทฉะเพียวช่วยต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่าผลไม้ทั่วไป ป้องกันเซลล์เสื่อมก่อนวัยและลดการอักเสบในร่างกาย ด้านสุขภาพหัวใจ มัทฉะช่วยลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลไม่ดี ส่วนด้านสมองช่วยเพิ่มสมาธิ ลดความเครียด และปรับปรุงอารมณ์ นอกจากนี้ยังเร่งการเผาผลาญ ช่วยควบคุมน้ำหนัก และป้องกันเบาหวาน
ดื่มก่อนออกกำลังกาย 30 นาทีเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ หรือดื่มก่อนอาหาร 30 นาทีเพื่อลดความอยากอาหาร วิธีกินมัทฉะให้ผอม คือ ต้องไม่ใส่น้ำตาล นม หรือครีมเทียม ใช้สารให้ความหวานธรรมชาติแทน ถ้าอยากให้มีความนุ่ม ก็ใส่นมอัลมอนด์แทนนมสด และต้องดื่มควบคู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอและกินอาหารที่สมดุล
จริง การวิจัยพบว่ามัทฉะเพิ่มการเผาผลาญ 4-5% และเร่งการเผาผลาญไขมัน 17% รวมทั้งลดการสะสมไขมันหน้าท้อง แต่มัทฉะเป็นเพียงตัวช่วยเสริม ไม่ใช่ตัวหลักในการลดน้ำหนัก ต้องควบคู่กับการกินและออกกำลังกาย ผลที่คาดหวังได้คือ 1-2 กิโลกรัมต่อเดือนหากดื่มถูกวิธี โดยต้องไม่ใส่น้ำตาลหรือนมที่เต็มไปด้วยไขมัน ดื่มสม่ำเสมออย่างน้อย 3 เดือน และไม่หวังผลเร็วเกินไป
มัทฉะเป็นมากกว่าเครื่องดื่มยอดนิยม แต่เป็นซุปเปอร์ฟู้ดที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างแข็งแกร่ง จาก 10 ประโยชน์ที่กล่าวมา เห็นได้ชัดว่ามัทฉะสามารถให้ประโยชน์หลายด้านพร้อมกันในแก้วเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนัก การต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่าซุปเปอร์ฟู้ดอื่นๆ การควบคุมความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพผิว รวมถึงการสร้างสมดุลจิตใจและเพิ่มสมาธิ
จุดสำคัญที่ต้องจำคือ คุณภาพน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับประโยชน์เต็มที่จากมัทฉะ การใช้น้ำที่มีคลอรีนหรือสารเคมีจะทำลายสารอาหารที่มีค่าในมัทฉะได้มากถึง 30% การลงทุนกับระบบกรองน้ำคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องกรองน้ำ RO หรือตู้กดน้ำที่มีระบบกรองในตัว จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพอย่างจริงจัง
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มจากปริมาณน้อย (1 กรัม/วัน) เลือกเวลาที่เหมาะสม (เช้าหรือบ่าย) ใช้น้ำคุณภาพดีในการชง และดื่มอย่างสม่ำเสมอเพื่อผลระยะยาว สุขภาพดีเริ่มต้นจากสิ่งที่เราเลือกดื่ม และน้ำสะอาดคือพื้นฐานของสุขภาพที่ดี มัทฉะจึงเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการทั้งรสชาติดี พลังงาน และประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาว
บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ แต่ไม่ใช่คำแนะนำทางการแพทย์ หากมีปัญหาสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ก่อนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่ม










