ระบบกรอง UF vs RO ออฟฟิศเลือกแบบไหนดี? : เปรียบเทียบชัดๆ

จะเลือกระบบ UF หรือ RO ดี?

1. UF vs RO ต่างกันยังไง?

  • UF (Ultrafiltration) : รูกรองประมาณ 0.01 ไมครอน นึกถึงภาพตะแกรงที่มีความถี่มากๆ—ถนัดดักแบคทีเรีย โปรโตซัว และช่วยกำจัดไวรัสพอประมาณ แต่ไม่ใช่สายจัดการสารละลาย สารเคมี เช่น ไนเตรตโลหะหนัก ตามข้อมูล CDC (CDC)
  • RO (Reverse Osmosis) : เมมเบรนละเอียดมากประมาณ 0.0001 ไมครอน นึกถึงภาพผนังเกือบทึบ —ลดปรสิต แบคทีเรีย ไวรัส และสารละลายรวม (TDS) รวมถึงกำจัดโลหะหนักและไนเตรตได้ดี (CDC + มาตรฐาน NSF/ANSI 58 สำหรับระบบ RO)

สรุปสั้นๆ :

  • ถ้าปัญหาหลักคือ เชื้อจุลินทรีย์ทั่วไป + อยากคงแร่ธาตุบางส่วน + รสชาติน้ำคล้ายน้ำก๊อกดีๆ → UF
  • ถ้าปัญหาคือ กลิ่นรสไม่เสถียร มีคราบหินปูน โลหะหนัก ไนเตรต อยากได้น้ำรสนิ่งมาก → RO

อ่านต่อ : น้ำ RO คืออะไร? มีคุณสมบัติอะไร? มีข้อดี ข้อเสียยังไง?

 

2. เมื่อไรควรเลือก UF และเมื่อไรควรเลือก RO?

เลือก UF เมื่อ…

  • ใช้น้ำประปาในเมืองที่มีคุณภาพน้ำโดยรวมปลอดภัย แต่อยากมั่นใจคุณภาพรสชาติน้ำดื่มและการกำจัดจุลินทรีย์เพิ่มเติม
  • อยากคงแร่ธาตุธรรมชาติบางส่วน รสชาติน้ำไม่กลวงหรือแปลก
  • ไม่ได้กังวลเรื่องโลหะหนัก / ไนเตรต / คราบหินปูนเยอะ
  • ต้องการอัตราการไหลสูง และดูแลง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย

อ่านต่อ : Ultrafiltration คืออะไร? มีหลักการทำงานยังไง?

เลือก RO เมื่อ…

  • มีสัญญาณคราบหินปูน (กาต้มน้ำขาว / หัวก๊อกน้ำเป็นคราบ) → อยากลดค่า TDS / ความกระด้าง
  • กังวลเรื่องโลหะหนัก / ไนเตรต / รสชาติไม่นิ่ง
  • ต้องการมาตรฐานการลดสารละลายมวลรวมตาม NSF/ANSI 58 (มักอ้างอิงค่า % ลด TDS และสารปนเปื้อนบางชนิด) หรือเกณฑ์ประหยัดน้ำตามคู่มือ EPA WaterSense สำหรับ POU RO รุ่นใหม่ๆ (NSF)

ไวรัส/โปรโตซัว : หลายองค์กรย้ำว่าการเลือกระบบกรองต้องดูตามสิ่งปนเปื้อนเป้าหมาย และมาตรฐานรับรอง (WHO Scheme/CDC/NSF) ไม่ใช่แค่ชื่อระบบกรอง (World Health Organization)

3. ตารางเทียบเชิงลึก UF กับ RO : เชื้อโรค–โลหะหนัก–คราบหินปูน–รสชาติ

ตารางที่ 1

ประเด็น

UF

RO

แหล่งอ้างอิง/เหตุผล

แบคทีเรีย/โปรโตซัว

ดีมาก

ดีมาก

UF รูกรอง ~0.01 µm จับแบคทีเรีย / โปรโตซัวได้ดี; RO ละเอียดกว่านั้นมาก

ไวรัส

พอช่วยได้บ้าง (บางชนิดยังหลุด)

ดีมาก

CDC ระบุ UF “somewhat effective” ต่อไวรัส ; RO จัดการไวรัสได้ดีมาก

โลหะหนัก/ไนเตรต

ไม่ถนัด

ถนัด

RO ลดสารละลาย / โลหะหนัก ; ได้มาตรฐาน NSF/ANSI 58

คราบหินปูน (ความกระด้าง/TDS)

ไม่ถนัด

ถนัดมาก

RO ลด TDS / แคลเซียม-แมกนีเซียม → คราบลด (The ANSI Blog)

รสชาติน้ำ

คงแร่ธาตุบางส่วน → รส ธรรมชาติ

TDS ต่ำ รสนิ่งใส (บางคนชอบเติม Post Carbon หรือ Remineral)

แนวทางระบบ RO ใส่ไส้กรองปรับรสภายหลัง (NSF)

อัตราการไหล / ดูแลง่าย

สูง / ง่าย

ปานกลาง (ต้องมีปั๊มอัดเมมเบรน) / ใช้ไฟฟ้า / มีอะไหล่มากกว่า

งบลงทุน

มักถูกกว่า RO

มักสูงกว่า UF

🌟หมายเหตุ : ไม่ว่าจะใช้ระบบอะไร การเพิ่ม UV ฆ่าเชื้อปลายทาง และการล้างหัวจ่ายตามรอบ ช่วยเสริม “ด่านสุดท้ายก่อนถึงแก้ว” อย่างมาก (World Health Organization)

ตารางที่ 2

หัวข้อ

UF

RO

สิ่งที่เด่น

กำจัดแบคทีเรีย โปรโตซัว ตะกอน

ลดโลหะหนัก / ไนเตรต / TDS ความกระด้างสูง

ไวรัส

ต้องเสริม UV / ขั้นฆ่าเชื้อ

ลดได้ดี (ร่วมกับขั้นตอนอื่นเพื่อความครบถ้วน) 

รสชาติ / กลิ่น

ดีเมื่อมีคาร์บอน

นิ่งมาก โดยเฉพาะเมื่อ TDS ลดลง + คาร์บอน

แร่ธาตุ

คงไว้ได้มากกว่า (รสธรรมชาติ)

ลดลงมาก (บางออฟฟิศเติม remineral ตามชอบ)

อัตราการไหล

สูงกว่า (ไม่ต้องเก็บน้ำมาก)

ช้ากว่า—มักใช้ถังแรงดันรองรับช่วงพีค

น้ำทิ้ง

แทบไม่มี

มีน้ำทิ้ง (ปรับอัตราส่วนได้ตามสเปก)

พลังงาน

ต่ำ

สูงกว่า (ใช้ไฟฟ้ากับปั๊มอัด RO Membrane)

การดูแล

ล้าง / เปลี่ยนตามรอบ (ง่าย)

เปลี่ยนเมมเบรน/คาร์บอน + ดูแลปั๊ม/ถังแรงดัน + อะไหล่อื่นๆ

ใช้เมื่อ…

น้ำประปาดี เน้นเชื้อ / ตะกอน อยากคงแร่ธาตุ

เสี่ยงโลหะหนัก ไนเตรต น้ำกระด้างสูง อยากคุมรสคงที่

4. ชุดไส้กรองที่เราแนะนำ : 3-6 ขั้นตอน ควรใช้แบบไหน?

เราออกแบบให้เลือกง่ายตามปัญหาน้ำและพฤติกรรมการดื่มของออฟฟิศ

4.1 ชุด 3 ขั้นตอน : PP, Carbon, Resin

  • เหมาะกับ : น้ำประปาในเมืองที่ค่อนข้างดี ต้องการลดตะกอน กลิ่น-รส และ ลดความกระด้าง คราบขั้นพื้นฐาน
  • ข้อดี : ต้นทุนต่ำ ดูแลง่าย รสชาติดีขึ้นชัด
  • ข้อควรทราบ : ไม่ได้ออกแบบมาลดไวรัส / โลหะหนักแบบจริงจัง

4.2 ชุด 4 ขั้นตอน : PP, Carbon, Resin, Post Carbon

  • เหมาะกับ : ต้องการรสชาตินิ่งขึ้นอีก —Post Carbon ช่วยปรับรสชาติน้ำให้ละมุน
  • ข้อดี : ดื่มง่าย ควบคุมกลิ่น-รสได้ดี
  • ข้อควรทราบ : ยังไม่ใช่การลดสารละลาย/โลหะหนักหนักๆ

4.3 ชุด 5 ขั้นตอน UF : PP, Carbon, Resin, UF, Post Carbon

  • เหมาะกับ : ออฟฟิศที่กังวลเรื่องแบคทีเรีย/โปรโตซั และอยากคงแร่ธาตุบางส่วน รสธรรมชาติ
  • จุดเด่น : อัตราการไหลดี ดูแลง่าย รสชาติดี
  • ควรรู้ : UF ช่วยกำจัดไวรัสได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางหลัก ถ้าเสี่ยงไวรัสให้ดู RO หรือเสริม UV

4.4 ชุด 5 ขั้นตอน RO : PP, Carbon, Resin, RO, Post Carbon

  • เหมาะกับ : พื้นที่คราบหินปูนเยอะ, รสชาตินิ่ง/คุม TDS, หรือกังวลโลหะหนัก/ไนเตรต
  • จุดเด่น : ลดสารละลายได้มาก ตามมาตรฐาน NSF/ANSI 58 (มักอ้างลด TDS ≥75%+ ตามการทดสอบ) (US EPA)
  • ควรรู้ : อัตราการไหลอาจต่ำกว่าระบบไม่ใช้ปั๊ม / ถังแรงดัน ต้องวางสเปกให้พอกับช่วงพีค

4.5 ชุด 6 ขั้นตอน UF+UV : PP, Carbon, Resin, UF, Post Carbon, UV

  • เหมาะกับ : สาย UF ที่อยากล็อกฆ่าเชื้อปลายทาง เพิ่มเติมในจุดจ่าย (ตู้กดน้ำ/หัวก๊อก)
  • จุดเด่น : จบเรื่องรสชาติ + จุลินทรีย์ปลายทาง (เมื่อควบคุมความใส / อัตราการไหลตามสเปก UV) ตามกรอบ NSF/ANSI 55 (standards.nsf.org)
  • ควรรู้ : UV ต้องเปลี่ยนหลอดตามอายุแสง และใช้งานกับน้ำใส

5. เคล็ดลับตู้น้ำดื่มและระบบกรอง สำหรับออฟฟิศ

  1. วางลำดับไส้กรองให้ถูก : Sediment → Carbon → Resin → UF หรือ RO → Post Carbon → (ถ้ามี) UV → ตู้ทำน้ำเย็น
  2. UV ได้ผลเมื่อไหร่? : เมื่อน้ำใส + อัตราการไหลตรงสเปกตามมาตรฐาน NSF/ANSI 55/คู่มือผู้ผลิต
  3. หัวก๊อกน้ำ : เป็นด่านสุดท้ายก่อนเข้าปาก ต้องทำความสะอาดตามรอบ—จุดจ่ายน้ำในอาคารและโรงเรียน แนะนำให้ล้างและบันทึกอย่างสม่ำเสมอ (ออฟฟิศทำตามได้เลย) (US EPA)
  4. กลิ่นรสไม่เสถียร : ใส่ Post Carbon หลัง UF/RO ช่วยปรับรสชาติให้เนียนขึ้น
  5. หินปูนเยอะ / เครื่องร้อนเย็นสกปรกไว : ใช้ Resin / RO ช่วยลดคราบหินปูน เครื่องอยู่ยาว
  6. ตั้งตาราง PM : เปลี่ยน PP 3–6 เดือน, Carbon 6–12 เดือน, Resin 6-12 เดือน, UF 9-12 เดือน, RO 18–36 เดือน, UV ประมาณปีละครั้ง (ขึ้นกับชั่วโมง/สเปก) และจดวันที่หน้าเครื่อง (แนว CDC แนะนำให้ปฏิบัติตามคู่มือผู้ผลิต)

6. เช็กลิสต์ตัดสินใจ 10 ข้อ ก่อนกดสั่งซื้อ

  1. ทีมคุณดื่มวันละกี่ลิตร? ช่วงพีคเท่าไร (พักเที่ยง)?
  2. น้ำมีคราบหินปูนชัดเจนไหม (ดูจากกาต้มน้ำ / หัวก็อก)?
  3. ต้องการควบคุมรสชาติน้ำ / คุม TDS เข้มข้นไหม → ถ้าใช่ ให้ดู RO
  4. กังวลโลหะหนัก/ไนเตรตหรือไม่ → ถ้าใช่ ให้ดู RO (+Post Carbon)
  5. เน้นความไหลลื่น / ดูแลง่ายไหม? → ให้คะแนน UF สูงขึ้น
  6. จุดจ่ายอยู่กลางออฟฟิศ (คนใช้ร่วมกัน) → ควรพิจารณา UV ปลายทาง
  7. อุปกรณ์ / วัสดุสัมผัสน้ำมีมาตรฐาน NSF/ANSI หรือไม่
  8. มีแผน PM ชัดเจน : ล้าง–เปลี่ยน–เช็ค
  9. พื้นที่ติดตั้งพอสำหรับถังแรงดัน RO หรือไม่
  10. ต้องการ Post Carbon เพื่อปรับรสชาติน้ำหลังกรองไหม

อ่านต่อ : หยุดซื้อน้ำขวดเข้าบริษัททุกวัน ใช้ตู้น้ำดื่มคุ้มกว่า!

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ + แนวคิดคุมงบ

  • UF มักถูกกว่า ติดตั้งง่ายกว่า ไม่มีน้ำทิ้ง (ค่าไฟต่ำกว่า) → เหมาะกับออฟฟิศที่น้ำดิบดีอยู่แล้ว และต้องการรสธรรมชาติ
  • RO ลงทุนสูงกว่า + คุมรสชาติ / ลด TDS / โลหะหนัก / ความกระด้างได้ชัดเจน → เหมาะออฟฟิศที่ต้องการ “คุณภาพคงที่” และน้ำสะอาดสูงสุด
  • แนวคิดจากงานจริง : คิดเป็นรายแก้ว/รายลิตร และรวมค่าไส้กรอง + บริการล้างตู้ ลงในงบรายเดือน จะเห็นภาพคุมงบชัดขึ้น

ถ้าออฟฟิศเคยซื้อน้ำขวด แนะนำทำ ROI เทียบ “น้ำขวด vs ระบบกรอง + ตู้กดน้ำ” แล้วคุณจะเห็นส่วนต่างชัดเจน (ส่วนใหญ่คืนทุนเร็วมากในที่ที่ใช้น้ำเยอะ)

7. คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

UF เก่งแบคทีเรีย / โปรโตซัว ส่วนไวรัสช่วยได้บางส่วน แต่ไม่ครบทุกชนิด—ถ้าเสี่ยงไวรัสหรืออยากความมั่นใจสูง ให้ดู RO หรือเสริม UV ปลายทาง (CDC)

ได้ และยังลด TDS / ไนเตรตด้วย—ให้ดูการรับรองตาม NSF/ANSI 58 ของรุ่นนั้นๆ (NSF)

ไม่จำเป็นเสมอไป แต่มีประโยชน์มากสำหรับจุดจ่ายรวม ถ้าควบคุมอัตราการไหล / ความใสตามมาตรฐาน NSF/ANSI 55 และเปลี่ยนหลอดตามรอบ (standards.nsf.org)

เพราะสิ่งปนเปื้อนไม่เหมือนกัน—ทดสอบน้ำก่อน แล้วเลือกระบบที่แก้ปัญหาจริง ถ้าเจอโลหะหนัก / ไนเตรต / น้ำกระด้างสูง → RO เหมาะสมกว่า ถ้าเน้นเชื้อ / ตะกอนและน้ำประปาดีอยู่แล้ว → UF ก็พอ (CDC)

มันคือด่านสุดท้ายก่อนเข้าปาก—EPA 3Ts แนะนำให้สถานศึกษา / ศูนย์เด็กเล็ก ล้างก๊อกน้ำหรือจุดจ่ายน้ำ และบันทึกสม่ำเสมอ แนวทางนี้ใช้ในออฟฟิศได้เหมือนกัน (US EPA)

8. สรุป : สูตรลัดในการตัดสินใจ

  • ถ้าต้องการน้ำรสธรรมชาติ คงแร่ธาตุ / ไหลลื่น / ดูแลง่าย และไม่ได้ห่วงโลหะหนัก → UF (และถ้าเป็นจุดรวมคนใช้ → เสริม UV)
  • ถ้าอยากคุมรสชาติน้ำ / คุม TDS / ลดคราบหินปูน / จัดการโลหะหนัก–ไนเตรตแบบจริงจัง → RO (แนะนำมี Post Carbon เพื่อปรับรส)

ชุดไส้กรองแบบไหนที่เหมาะกับออฟฟิศคุณ?

  • 3 ขั้นตอน (PP, Carbon, Resin) : น้ำประปาดี อยากตัดตะกอน / กลิ่น และลดคราบเบื้องต้น
  • 4 ขั้นตอน (+Post Carbon) : เพิ่มความนิ่งของรสชาติน้ำ
  • 5 ขั้นตอน UF : เน้นจุลินทรีย์ทั่วไป + รสธรรมชาติ (คงแร่ธาตุบางส่วน)
  • 5 ขั้นตอน RO : เน้นลด TDS / คราบ / โลหะหนัก / ไนเตรต + รสชาตินิ่ง (ตาม NSF/ANSI 58) 
  • 6 ขั้นตอน UF+UV : สาย UF ที่อยากล็อกเชื้อปลายทาง (ตามหลัก NSF/ANSI 55 ว่าด้วย UV) (standards.nsf.org)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *